การเปลี่ยนผ่านจากเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย จากยุค 3G สู่ 4G และการก้าวสู่ยุค 5G ทำให้เราสังเกตได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง ที่อยู่รอบตัวเราอย่างชัดเจน ทั้งการใช้เวลาในชีวิตประจำวัน ไปกับกับภาพเคลื่อนไหวต่างๆ ทั้งคลิปวิดีโอในยูทูป และ ติ๊กต็อก การเล่นเกม หรือการประชุมออนไลน์ที่ในเวลาที่นานมากขึ้น การใช้ชีวิตร่วมกับเซ็นเซอร์และการตรวจสอบทางชีวมาตรเพื่อการทำธุรกรรมหรือกิจกรรมต่างๆที่มากขึ้น การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวเป็นเพียงปฐมบทของการก้าวเข้าสู่ยุค 5G อย่างเต็มรูปแบบ
มีการคาดการณ์ว่าเราจะอยู่กับระบบการสื่อสารไร้สายยุคที่ 5 หรือ 5G ไปอย่างน้อยจนถึงปี ค.ศ.2030 เราจึงควรทำความเข้าใจว่า 5G จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งรอบๆตัวเราอย่างไรบ้างและจะมีผลต่อชีวิตของเราอย่างไรในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งในเบื้องต้นเราควรทราบถึงคุณลักษณะที่เป็นจุดเด่นสำคัญของ 5G ที่จะมีผลต่อสรรพสิ่งต่างๆรอบตัวเรา
5G มีคุณลักษณะที่เหนือกว่ารูปแบบการสื่อสารไร้สายที่ผ่านมาในหลายด้าน ทั้งความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ทำได้ถึง 10 GB ในหนึ่งวินาที มีขนาดแบนวิทธิ์กว้างถึง 400 MHz รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆได้มากขึ้นถึง 1 ล้านอุปกรณ์ในหนึ่งตารางกิโลเมตร มีความละเอียดและแม่นยำต่อเวลาถึงระดับหนึ่งส่วนพันของวินาที ช่วยทำให้อุปกรณ์เชื่อมต่อใช้พลังงานลดลงและสามารถใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ได้นานขึ้น (อุปกรณ์ 5 G บางชนิดมีอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้นานมากถึง 10 ปีจึงสามารถติดตั้งให้ทำงานได้โดยไม่ต้องการบำรุงรักษาใดๆในระยะเวลาที่นานมาก)
จากคุณสมบัติที่เป็นเลิศในหลายมิติดังกล่าว 5G จึงเป็นเทคโนโลยีเติมพลังให้กับเทคโนโลยีและสรรพสิ่งต่างๆมากมายรอบตัวเรา นำมาซึ่ง 5 การเปลี่ยนผ่านที่สำคัญของสรรพสิ่งต่างๆรอบตัวเราดังนี้
- 5G จะทำให้เราได้เห็นและใช้งานอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ IoT อีกเป็นจำนวนมากทั้งเซ็นเซอร์ที่ช่วยในการรับข้อมูลใหม่ที่หลากหลายและเกิดขึ้นใหม่ทุกวินาทีบนโลกใบนี้ เมื่อข้อมูลดังกล่าวเชื่อมต่อเข้ากับระบบประมวลผลที่มีความฉลาดมากขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ทำให้เราใช้ชีวิตอยู่ในระบบอัจฉริยะต่างๆที่หลากหลายมากขึ้น เช่น บ้านอัจฉริยะ อาคารอัจฉริยะ แปลงเกษตรอัจฉริยะ ห้องเรียนอัจฉริยะ รถพยาบาลอัจฉริยะ และเมืองอัจฉริยะ เป็นต้น ซึ่งทำให้เราได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น นอกจากนี้ทรัพยากรยังถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับโลกมากขึ้น
- 5G จะทำให้เราได้ใช้ประโยชน์จากระบบอัตโนมัติแบบไร้ข้อจำกัดทางกายภาพต่างๆมากขึ้น เช่น เราสามารถใช้หุ่นยนต์นับร้อยตัวที่เชื่อมต่อกันทำงานร่วมกันในพื้นที่ที่จำกัดหรือมีความเสี่ยงให้ได้ผลผลิตมากขึ้นได้ เราสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยียานยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองได้อย่างเต็มที่มากขึ้น เป็นต้น
- 5G จะทำให้เราได้เห็นโลกแท้จริงและโลกเสมือนจริงเชื่อมต่อกันแบบไร้รอยต่อมากขึ้น ทั้งจากบริการต่างๆที่ได้รับ ทั้งบริการปรึกษาแนะนำทางการแพทย์ ทางการเงิน และด้านอื่นๆผ่านโลกออนไลน์และโลกเสมือนจริงพร้อมกัน การได้รับบริการทางการแพทย์รวมถึงการผ่าตัดผ่านเทคโนโลยีเสมือนจริงต่างๆ (Extended Reality) การรับชมกีฬาหรือภาพยนตร์เพื่อความบันเทิงที่สร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้กับเราผ่านการผสานสองโลกไว้ด้วยกันมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นไปได้และกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น เนื่องจากคุณภาพการสื่อสารที่ทำให้โลกเสมือนมีการหน่วงของเวลาลดน้อยลงมากจนทำให้สองโลกมาบรรจบกันได้แบบไร้รอยต่อมากขึ้น
- 5G จะทำให้เราได้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ที่ฉลาดขึ้นและเข้าถึงได้มากขึ้น เนื่องจากปริมาณข้อมูลการใช้งานของเราที่ถูกเก็บในมิติที่หลากหลายขึ้นในปริมาณที่มากขึ้นในทุกๆวัน ทำให้ปัญญาประดิษฐ์สามารถเรียนรู้ได้มากขึ้นและเร็วขึ้น และสามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะระดับบุคคลได้ดีมากขึ้น การเชื่อมต่อที่ครอบคลุมมากขึ้นและเร็วขึ้นทำให้การใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์เกิดขึ้นได้เพียงไม่ถึงหนึ่งวินาที โดยเฉพาะในวินาที่ที่มีความสำคัญ (Moment of Truth) ของผู้รับบริการ
- 5G จะทำให้เราใช้ชีวิตอยู่กับ Cloud มากขึ้น เนื่องจาก 5G ช่วยตอบโจทย์ในด้านการจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลที่อยู่บน Cloud ได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัยมากขึ้น ตามความต้องการใช้งาน Cloud ของเราที่มากขึ้นทั้งจากปริมาณข้อมูลที่เรามีและต้องใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในแต่ละปี จำนวนอุปกรณ์ที่เราต้องการให้เข้าถึงข้อมูลต่างๆเหล่านั้น และจำนวนผู้คนหรือองค์กรที่เราต้องการแบ่งปันข้อมูลและเข้าถึงข้อมูลจากเขาเหล่านั้น ตลอดจนบริการแอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่ๆที่ทำงานผ่าน Cloud computing ที่มีจำนวนมากขึ้นและเก่งมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
#FuturistNIDA #ให้คำปรึกษาด้านการมองอนาคต #การคาดการณ์อนาคต #5G #DigitalTransformation #ICT #Cloud
= = = = = = = = = =
เรียบเรียงโดย: ผศ. ดร.รักษ์พงศ์ วงศาโรจน์